
ไม่มีอะไรใหญ่เหนือใจ ไม่มีอะไรใหญ่เหนือใจ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า "ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ เมื่อกระทำเหตุให้ดีแล้ว ย่อมจะนำไปสู่ผลที่ดีได้เอง แม้เราจะปรารถนา หรือไม่ปรารถนาก็ตาม ย่อมต้องได้รับผลแห่งการกระทำนั้นอยู่วันยังค่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ ไม่ว่าเราจะยึดถือไว้ว่าเป็นของเรา หรือไม่ยึดถือว่าเป็นของเราก็ตาม ย่อมต้องพลัดพรากจากเราไปไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน แม้สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น จะไม่พลัดพรากจากเราไป เราก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้นไปอยู่เอง เพราะไม่มีใครเกิดมาแล้วไม่ตาย นี้! เป็นสัจธรรมที่มีอยู่คู่โลกมาแต่กาลไหนๆ" เพราะการที่เราต้องพลัดพรากจากทุกสรรพสิ่ง จึงเป็นเหตุอันควรให้ตระหนักว่า "ไม่ว่าเราจะพบกับสิ่งใด ก็พบเพื่อจะพลัดพรากจากกันในวันหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่จะพบเพื่ออยู่ร่วมรวมกันไปตลอด สัตว์โลกไม่มีรายใดจะประสบกับความสมหวังได้ตลอด ล้วนต้องผิดหวังด้วยกันทั้งนั้น โลกนี้จึงมีแต่ทุกข์ เพราะความปรารถนาที่ไม่สมหวัง ย่อมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์อยู่ร่ำไป และเป็นเหตุทำให้ขาดสติปัญญา ขาดความยั้งคิดใคร่ครวญ อาจยังให้กระทำในสิ่งที่ผิดถลำลึกลงไปอีกก็ได้ ยิ่งหวังมากก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น ครั้นจะไม่มีความหวังเอาเสียเลย สัตว์โลกก็คงไม่ต้องทำอะไรกัน" ในธรรมท่านจึงสอนว่า "จงทำความปรารถนาในสิ่งอันพึงปรารถนา คือปรารถนาในสิ่งที่จะเป็นไปได้ และจะเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้นก็พอแล้ว สิ่งใดที่ถึงแม้จะเป็นไปได้ แต่ยังไม่ถึงกาลอันควรจะเป็นไป ก็อย่าเพิ่งทำความปรารถนาไปก่อนเลย มิพักต้องกล่าวถึง การทำความปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ยิ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ผู้ทำความปรารถนาต้องประสบกับความผิดหวังไปโดยตลอด และเป็นเหตุทำใจให้เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ" เพราะเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่มีสิ่งใดมีคุณค่ายิ่งไปกว่าใจ เพราะใจเป็นสมบัติอันล้ำค่ากว่าสมบัติทั้งปวง ใจย่อมเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน จงรักษาใจไว้ให้ดี เมื่อใจดีแล้ว ย่อมเป็นเหตุทำให้เกิดการคิดดี ทำดี และพูดดี ก็การคิดดี ทำดี และพูดดีนี้ ย่อมเป็นขุมทรัพย์อันประเสริฐ ที่อาจยังขุมทรัพย์อื่นๆให้เกิดขึ้นได้อีกอย่างมากมาย" |