มีคำถามว่า พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ยังมีโอกาสได้บรรลุมรรค ผล นิพพานในชาตินี้ อยู่อีกหรือไม่?
.
คำถามนี้ตอบยาก และเป็นที่ถกเถียงกันมาตลอด เพราะการบรรลุมรรค ผล นิพพาน ถือเป็นนิสัยวาสนาของแต่ละบุคคลที่สั่งสมมาไม่เท่าเทียมกัน มีแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น ที่จะพยากรณ์ปัญหานี้ได้อย่างแจ้งชัด เราเพียงวินิจฉัยไปตามพระธรรมวินัยด้วยเหตุอันควรเท่านั้น ผู้อ่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเรา
.
ขอแยกประเด็นคำถามดังนี้ :-
.
๑. ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว แต่ยังครองผ้าเหลืองดำรงตนเป็นพระภิกษุ ยังร่วมลงอุโบสถสังฆกรรมหลอกลวงคนอื่นอย่างไม่ละอายแก่ใจ ไม่ยอมสละสมณเพศ ประเภทนี้ตายแล้วก็ไปอบายสถานเดียว
.
๒. ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ยอมรับความผิดสละสมณเพศไปเป็นคฤหัสถ์ดำรงชีวิตเยี่ยงฆราวาสที่ดีทั่วไป ตั้งตนอยู่ในศีล ๕ หรือประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในศีล ๘ ตลอดชีวิต ตายแล้วยังพอมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไปเบื้องหน้า ไม่ไปอบายเสียทีเดียว แต่ชาตินี้เป็นอันห้ามมรรค ผล นิพพาน
.
เพราะเหตุที่การต้องอาบัติปาราชิกนั้น ถือเป็นความผิดร้ายแรงถึงขั้นขาดจากความเป็นพระภิกษุ ต้องมีเจตนาอันแรงกล้าที่จะกระทำความผิด ต้องถูกราคะตัณหาครอบงำจิตใจ จนขาดสติ ขาดปัญญา ขาดจิตสำนึกของความเป็นพระภิกษุผู้ทรงศีล ๒๒๗ จึงจะสามารถกระทำความผิดถึงขั้นเสพเมถุนธรรมเป็นอาบัติปาราชิกได้
.
ความผิดดังกล่าวนี้ มีความรุนแรงถึงขั้นที่สติปัญญามืดบอด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงมีพระหฤทัยเต็มเปี่ยมด้วยพระเมตตามหากรุณาธิคุณ ก็ยังไม่ทรงอนุญาตให้พระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก กลับมาบวชเป็นพระภิกษุได้อีกตลอดชีวิต จึงเป็นเหตุผลให้พิจารณาได้ว่า เป็นอันห้ามมรรค ผล นิพพาน ในชาตินี้ไปโดยปริยาย
.
เพราะถ้าต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ยังสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้อยู่ พระพุทธองค์ก็คงจะทรงอนุญาตให้พระภิกษุเช่นนั้น กลับมาบวชเป็นพระภิกษุได้อีก ไม่ทรงชักสะพานตัดขาดถึงขั้นห้ามอุปสมบทอีกไปจนตลอดชีวิต เปรียบเหมือนตาลยอดด้วนที่ไม่มีทางจะฟื้นคืนชีพได้อีกแล้วตลอดกาล
.
เพราะเหตุนั้น พระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว แต่ยังไม่ยอมสละสมณเพศ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นั่นคือ การเปิดประตูให้ตัวเองก้าวลงไปสู่อบายสถานเดียว
.
ดังนั้น ถ้ายังพอมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวดีอยู่ เมื่อต้องอาบัติปาราชิกแล้ว จงสละสมณเพศไปเป็นคฤหัสถ์ ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งตนอยู่ในศีล ๘ แม้ห้ามมรรค ผล นิพพาน แต่ก็ไม่ห้ามสวรรค์สมบัติ ยังไงก็ดีกว่าไปอบาย
.